วันเสาร์, กันยายน 07, 2567

Phu Charoen

 
ภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ ข้าแต่พระองค์
ผู้อาทิผิด เจริญ พวกข้าพระองค์จะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายและทาง
วาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงให้มรรคที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วให้เกิดขึ้น ทรงให้รู้มรรคที่พวกใครๆ ไม่รู้
แล้ว ทรงบอกมรรคที่ใครๆ บอกไม่ได้แล้ว ทรงเป็นผู้รู้หนทาง ทรงเป็นผู้รู้
แจ้งซึ่งหนทาง ทรงเป็นผู้ฉลาดในหนทาง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็แลบัด
นี้พวกสาวก เป็นผู้ดำเนินไปตามมรรคอยู่ ภายหลังมาตามพร้อมแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีมารยาททางกายและทางวาจาหมดจดอย่างนี้.”
ได้ยินว่า แม้อุตตรมาณพ คิดว่า “เราจักเห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายินดีใน
กายทวาร และวจีทวารของพระตถาคตเจ้า.” แล้วติดตามอยู่ ๗ เดือน ก็ไม่ได้
เห็นแม้เท่ากับเล็นหรือว่าอุตตรมาณพนี้เป็นมนุษย์ จักเห็นโทษอะไรที่ไม่น่า
ยินดี ในกายทวารและวจีทวารของพระตถาคตเจ้าผู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้
เทวปุตตมาร ก็ติดตามตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ แสวงหาอยู่ตลอด ๖ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายิน
ดี โดยที่สุดแม้เพียงความปริวิตกทางใจ. มารคิดแล้วว่า “ถ้าว่าเราจักเห็น
อกุศลแม้เพียงเหตุที่พระโพธิสัตว์นั้นตรึกแล้ว ในเพราะโทษนั้นนั่นแหละ
เราจักตีพระโพธิสัตว์นั้นที่ศีรษะแล้วหลีกไป.” มารนั้นไม่ได้เห็นแล้ว
ตลอด ๖ ปี ติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๑ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษ
ไรๆ จึงไหว้แล้วในเวลาเป็นที่ไป จึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้เป็นมหาวีระ มีปัญญามาก ผู้รุ่งเรืองด้วยพระฤทธิ์
ด้วยยศ ผู้ทรงก้าวล่วงเวรภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาท” ดังนี้
แล้วหลีกไป.
บทว่า “เจือกัน” ความว่า “ปนกันอย่างนี้ คือ บางเวลาก็ดำ บาง
เวลาก็ขาว.”
 
๑๙/๕๓๙/๓๙๗

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก