ภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ ข้าแต่พระองค์
ผู้อาทิผิด เจริญ พวกข้าพระองค์จะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายและทาง
วาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงให้มรรคที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วให้เกิดขึ้น ทรงให้รู้มรรคที่พวกใครๆ ไม่รู้
แล้ว ทรงบอกมรรคที่ใครๆ บอกไม่ได้แล้ว ทรงเป็นผู้รู้หนทาง ทรงเป็นผู้รู้
แจ้งซึ่งหนทาง ทรงเป็นผู้ฉลาดในหนทาง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็แลบัด
นี้พวกสาวก เป็นผู้ดำเนินไปตามมรรคอยู่ ภายหลังมาตามพร้อมแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีมารยาททางกายและทางวาจาหมดจดอย่างนี้.”
ได้ยินว่า แม้อุตตรมาณพ คิดว่า “เราจักเห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายินดีใน
กายทวาร และวจีทวารของพระตถาคตเจ้า.” แล้วติดตามอยู่ ๗ เดือน ก็ไม่ได้
เห็นแม้เท่ากับเล็นหรือว่าอุตตรมาณพนี้เป็นมนุษย์ จักเห็นโทษอะไรที่ไม่น่า
ยินดี ในกายทวารและวจีทวารของพระตถาคตเจ้าผู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้
เทวปุตตมาร ก็ติดตามตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ แสวงหาอยู่ตลอด ๖ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายิน
ดี โดยที่สุดแม้เพียงความปริวิตกทางใจ. มารคิดแล้วว่า “ถ้าว่าเราจักเห็น
อกุศลแม้เพียงเหตุที่พระโพธิสัตว์นั้นตรึกแล้ว ในเพราะโทษนั้นนั่นแหละ
เราจักตีพระโพธิสัตว์นั้นที่ศีรษะแล้วหลีกไป.” มารนั้นไม่ได้เห็นแล้ว
ตลอด ๖ ปี ติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๑ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษ
ไรๆ จึงไหว้แล้วในเวลาเป็นที่ไป จึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้เป็นมหาวีระ มีปัญญามาก ผู้รุ่งเรืองด้วยพระฤทธิ์
ด้วยยศ ผู้ทรงก้าวล่วงเวรภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาท” ดังนี้
แล้วหลีกไป.
บทว่า “เจือกัน” ความว่า “ปนกันอย่างนี้ คือ บางเวลาก็ดำ บาง
เวลาก็ขาว.”
วาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงให้มรรคที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วให้เกิดขึ้น ทรงให้รู้มรรคที่พวกใครๆ ไม่รู้
แล้ว ทรงบอกมรรคที่ใครๆ บอกไม่ได้แล้ว ทรงเป็นผู้รู้หนทาง ทรงเป็นผู้รู้
แจ้งซึ่งหนทาง ทรงเป็นผู้ฉลาดในหนทาง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็แลบัด
นี้พวกสาวก เป็นผู้ดำเนินไปตามมรรคอยู่ ภายหลังมาตามพร้อมแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีมารยาททางกายและทางวาจาหมดจดอย่างนี้.”
ได้ยินว่า แม้อุตตรมาณพ คิดว่า “เราจักเห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายินดีใน
กายทวาร และวจีทวารของพระตถาคตเจ้า.” แล้วติดตามอยู่ ๗ เดือน ก็ไม่ได้
เห็นแม้เท่ากับเล็นหรือว่าอุตตรมาณพนี้เป็นมนุษย์ จักเห็นโทษอะไรที่ไม่น่า
ยินดี ในกายทวารและวจีทวารของพระตถาคตเจ้าผู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้
เทวปุตตมาร ก็ติดตามตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ แสวงหาอยู่ตลอด ๖ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษไรๆ ที่ไม่น่ายิน
ดี โดยที่สุดแม้เพียงความปริวิตกทางใจ. มารคิดแล้วว่า “ถ้าว่าเราจักเห็น
อกุศลแม้เพียงเหตุที่พระโพธิสัตว์นั้นตรึกแล้ว ในเพราะโทษนั้นนั่นแหละ
เราจักตีพระโพธิสัตว์นั้นที่ศีรษะแล้วหลีกไป.” มารนั้นไม่ได้เห็นแล้ว
ตลอด ๖ ปี ติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๑ ปี ก็ไม่ได้เห็นโทษ
ไรๆ จึงไหว้แล้วในเวลาเป็นที่ไป จึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้เป็นมหาวีระ มีปัญญามาก ผู้รุ่งเรืองด้วยพระฤทธิ์
ด้วยยศ ผู้ทรงก้าวล่วงเวรภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาท” ดังนี้
แล้วหลีกไป.
บทว่า “เจือกัน” ความว่า “ปนกันอย่างนี้ คือ บางเวลาก็ดำ บาง
เวลาก็ขาว.”
๑๙/๕๓๙/๓๙๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น