มหาวรรค
ปุคคลกถา
อนุโลมปัญจกะ
ปุคฺคโล อุปลพฺภติสจฺฉิกฏฺฐปรมฏฺเฐน สกวาที ถามว่า
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะ คือ อรรถอันเป็นจริง และปร-
มัตถะ คือ อรรถอย่างยิ่ง หรือ ?
อามนฺตา ( ปรวาที ตอบว่า ) ใช่. ปรวาทีหมายเอาอุปาทา-
บัญญัติ ซึ่งเป็นสมมติสัจจะตามลัทธิที่ท่านได้ตั้งไว้ ส่วนสกวาที มุ่ง
เอาปรมัตถสัจจะ จึงได้ซักเพื่อพิสูจน์ความเป็นปรมัตถ์ต่อไป.
สกวาทีซักว่า สภาวธรรมใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอย่าง
ยิ่งมีอยู่ ท่านหยั่งเห็นบุคคลนั้นได้ด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอย่าง
ยิ่งนั้น หรือ ? คำว่า สภาวธรรมใด มีอรรถอันเป็นจริงมีอรรถอย่าง
ยิ่ง นั้น ได้แก่ สภาวธรรม ๕๗ ประเภท คือขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ และพระนิพพาน หรือสังขตธรรม และ
อสังขตอาทิผิด สระ ธรรม เป็นต้น ธรรมเหล่านี้บัณฑิตไม่พึงถือเอาโดยสมมติสัจจะ.
ปรวาที ปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
สกวาที จึงกล่าวว่า ท่านจงรู้นิคคหะ คือการผิดพลาด หากว่า
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะและปรมัตถะไซร้ ด้วยเหตุนั้นแหละ
ปุคคลกถา
อนุโลมปัญจกะ
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะ คือ อรรถอันเป็นจริง และปร-
มัตถะ คือ อรรถอย่างยิ่ง หรือ ?
อามนฺตา ( ปรวาที ตอบว่า ) ใช่. ปรวาทีหมายเอาอุปาทา-
บัญญัติ ซึ่งเป็นสมมติสัจจะตามลัทธิที่ท่านได้ตั้งไว้ ส่วนสกวาที มุ่ง
เอาปรมัตถสัจจะ จึงได้ซักเพื่อพิสูจน์ความเป็นปรมัตถ์ต่อไป.
สกวาทีซักว่า สภาวธรรมใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอย่าง
ยิ่งมีอยู่ ท่านหยั่งเห็นบุคคลนั้นได้ด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอย่าง
ยิ่งนั้น หรือ ? คำว่า สภาวธรรมใด มีอรรถอันเป็นจริงมีอรรถอย่าง
ยิ่ง นั้น ได้แก่ สภาวธรรม ๕๗ ประเภท คือขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ และพระนิพพาน หรือสังขตธรรม และ
ปรวาที ปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
สกวาที จึงกล่าวว่า ท่านจงรู้นิคคหะ คือการผิดพลาด หากว่า
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะและปรมัตถะไซร้ ด้วยเหตุนั้นแหละ
๘๐/๑/๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น