บริษัทเท่านั้น จักถูกบังด้วยดอกรัง เขาเป็นผู้ประกอบ
ด้วยบุญกรรม จักรื่นเริงอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยการ
ฟ้อน การขับ การประโคม อันเป็นทิพย์ในกาลนั้น
ทุกเมื่อ บริษัทของเขาประมาณเท่าที่มี จักมีกลิ่น
หอมฟุ้ง และฝนดอกรัง จักตกลงทั่วไปในขณะนั้น
มาณพนี้ จุติจากเทวโลกแล้ว จักมาสู่ความเป็นมนุษย์
แม้ในมนุษยโลกนี้ หลังคาดอกรังก็จักทรงอยู่ ตลอด
กาลทั้งปวง ณ มนุษยโลกนี้ การฟ้อนและการขับที่
ประกอบด้วยกังสดาล จักแวดล้อมมาณพนี้อยู่เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา และเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ฝน
ดอกรังก็จักตกลง ฝนดอกรังที่บุญกรรมปรุงแต่งแล้ว
จักตกลงทุกเวลา ในกัปที่ ๑,๘๐๐ พระศาสดา มีพระ
นามว่า “ โคดม ” จึงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช
จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มาณพนี้จักเป็นทายาทในธรรม
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรม
เนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน เมื่อเขาตรัสรู้ธรรมอยู่ จักมีหลังคาดอกรัง
เมื่อถูกฌาปนกิจอยู่บนเชิงตะกอน ที่เชิงตะกอนนั้น
ก็จักมีหลังคาดอกรัง พระมหามุนี ทรงพระนามว่า
ปิยทัสสี ทรงพยากรณ์วิบากแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่
บริษัท ให้อิ่มหนำด้วยฝนคือธรรม เราได้เสวยราช
สมบัติในเทวโลก ในหมู่เทวดา ๓๐ กัป ได้เป็น
๕๑/๒๗๔/๗๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น