พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยตัณหา
เครื่องประกอบสัตว์ไว้ มีจิตยินดีแล้วใน
ภพน้อยและภพใหญ่ ชนเหล่านั้นประกอบ
แล้วด้วยโยคะ คือ บ่วงแห่งมาร เป็นผู้
ไม่มีความเกษมอาทิผิด อักขระ จากโยคะ สัตว์ทั้งหลายผู้ถึง
ชาติและมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ส่วนสัตว์
เหล่าใดละตัณหาได้ขาด ปราศจากตัณหา
ในภพน้อยและภพใหญ่ ถึงแล้วซึ่งความ
สิ้นไปแห่งอาสวะ สัตว์เหล่านั้นแล ถึงฝั่ง
แล้วในโลก.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบตัณหาสูตรที่ ๙
อรรถกถาตัณหาสูตร
ในตัณหาสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
กิเลสชาติ ชื่อว่า ตัณหา เพราะหมายความว่าทะยานอยาก. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่าตัณหา เพราะหวั่นไหวอารมณ์มีรูปเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงแยก
ตัณหานั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า กามตัณหา ดังนี้.
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยตัณหา
เครื่องประกอบสัตว์ไว้ มีจิตยินดีแล้วใน
ภพน้อยและภพใหญ่ ชนเหล่านั้นประกอบ
แล้วด้วยโยคะ คือ บ่วงแห่งมาร เป็นผู้
ไม่มีความ
ชาติและมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ส่วนสัตว์
เหล่าใดละตัณหาได้ขาด ปราศจากตัณหา
ในภพน้อยและภพใหญ่ ถึงแล้วซึ่งความ
สิ้นไปแห่งอาสวะ สัตว์เหล่านั้นแล ถึงฝั่ง
แล้วในโลก.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบตัณหาสูตรที่ ๙
อรรถกถาตัณหาสูตร
ในตัณหาสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
กิเลสชาติ ชื่อว่า ตัณหา เพราะหมายความว่าทะยานอยาก. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่าตัณหา เพราะหวั่นไหวอารมณ์มีรูปเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงแยก
ตัณหานั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า กามตัณหา ดังนี้.
๔๕/๒๓๖/๓๗๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น