เสมหะมาก ที่มีสีดำเพราะดีกำเริบ ที่มีสีแดงเพราะเลือดคั่ง เป็นดังถนนเพราะ
มากด้วยธาตุดิน ชื่อว่าย่อมไหลออกเพราะมากด้วยธาตุน้ำ ว่าย่อมแผดเผา
เพราะมากด้วยธาตุไฟ ชื่อว่าย่อมหมุนไปมา เพราะมากด้วยธาตุลม นี้ชื่อว่า
สสัมภารจักษุ. ประสาทอาศัยมหาภูตรูป ๔ ผูกพันในจักษุนี้ ชื่อ ปสาทจักษุ.
จริงอยู่ ปสาทจักษุนี้ย่อมเป็นไปโดยความเป็นวัตถุทวาร ตามสมควรแก่จักษุ
วิญญาณเป็นต้น .
แม้ในโสตะเป็นต้นพึงทราบความดังต่อไปนี้. โสตะมี ๒ อย่าง คือ
ทิพยโสตะ ๑ มังสโสตะ ๑. ในโสตะ ๒ อย่างนี้ ได้ยินเสียงทั้งสองด้วย
โสตอาทิผิด อักขระ ธาตุ อันเป็นทิพย์ บริสุทธิ์ล่วงเกินมนุษย์ นี้ชื่อว่า ทิพยโสตะ. ทั้งหมด
มีอาทิว่า มังสโสตะมี ๒ อย่างคือ สสัมภารโสตะ ๑ ปสาทโสตะ ๑ พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวแล้วในจักษุ. ฆานะและชิวหาก็เหมือนกัน. แต่กายมีหลายอย่าง
เป็นต้นว่า โจปนกาย กรชกาย สมูหกาย ปสาทกาย. ในกายเหล่านั้น
กายนี้ คือ
ผู้มีปัญญา สำรวมกาย และสำรวม
วาจา ชื่อว่า โจปนกาย.
นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ ชื่อ กรชกาย. แต่สมูหกายมีหลายอย่างมาแล้ว
ด้วยสามารถแห่งหมู่วิญญาณเป็นต้น. จริงอย่างนั้น ท่านกล่าวหมู่วิญญาณไว้ใน
บทมีอาทิว่า ดูก่อนอาวุโส หมู่วิญญาณเหล่านี้มี ๖ อย่าง ดังนี้. ท่านกล่าว
ถึงหมู่ผัสสะเป็นต้น ในบทมีอาทิว่า หมู่ผัสสะ ๖ อย่าง ดังนี้. อนึ่ง ท่านกล่าว
เวทนาขันธ์เป็นต้น ในบทมีอาทิว่า กายปัสสัทธิ (ความสงบกาย) กายลหุตา
(ความเบากาย). ท่านกล่าวหมู่ปฐวีธาตุเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า บุคคลบางคน
ในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นปฐวีกาย อาโปกาย เตโชกาย วาโยกาย เกสกาย
โลมกาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้. ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
มากด้วยธาตุดิน ชื่อว่าย่อมไหลออกเพราะมากด้วยธาตุน้ำ ว่าย่อมแผดเผา
เพราะมากด้วยธาตุไฟ ชื่อว่าย่อมหมุนไปมา เพราะมากด้วยธาตุลม นี้ชื่อว่า
สสัมภารจักษุ. ประสาทอาศัยมหาภูตรูป ๔ ผูกพันในจักษุนี้ ชื่อ ปสาทจักษุ.
จริงอยู่ ปสาทจักษุนี้ย่อมเป็นไปโดยความเป็นวัตถุทวาร ตามสมควรแก่จักษุ
วิญญาณเป็นต้น .
แม้ในโสตะเป็นต้นพึงทราบความดังต่อไปนี้. โสตะมี ๒ อย่าง คือ
ทิพยโสตะ ๑ มังสโสตะ ๑. ในโสตะ ๒ อย่างนี้ ได้ยินเสียงทั้งสองด้วย
มีอาทิว่า มังสโสตะมี ๒ อย่างคือ สสัมภารโสตะ ๑ ปสาทโสตะ ๑ พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวแล้วในจักษุ. ฆานะและชิวหาก็เหมือนกัน. แต่กายมีหลายอย่าง
เป็นต้นว่า โจปนกาย กรชกาย สมูหกาย ปสาทกาย. ในกายเหล่านั้น
กายนี้ คือ
ผู้มีปัญญา สำรวมกาย และสำรวม
วาจา ชื่อว่า โจปนกาย.
นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ ชื่อ กรชกาย. แต่สมูหกายมีหลายอย่างมาแล้ว
ด้วยสามารถแห่งหมู่วิญญาณเป็นต้น. จริงอย่างนั้น ท่านกล่าวหมู่วิญญาณไว้ใน
บทมีอาทิว่า ดูก่อนอาวุโส หมู่วิญญาณเหล่านี้มี ๖ อย่าง ดังนี้. ท่านกล่าว
ถึงหมู่ผัสสะเป็นต้น ในบทมีอาทิว่า หมู่ผัสสะ ๖ อย่าง ดังนี้. อนึ่ง ท่านกล่าว
เวทนาขันธ์เป็นต้น ในบทมีอาทิว่า กายปัสสัทธิ (ความสงบกาย) กายลหุตา
(ความเบากาย). ท่านกล่าวหมู่ปฐวีธาตุเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า บุคคลบางคน
ในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นปฐวีกาย อาโปกาย เตโชกาย วาโยกาย เกสกาย
โลมกาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้. ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
๔๕/๒๐๖/๑๙๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น