วันอังคาร, พฤษภาคม 28, 2567

Fang

 
พระพุทธเจ้าชื่อว่า ผู้ข่มมารอันผู้อื่นไม่พึงข่มได้ เพราะอดกลั้น เพราะนำไป
ซึ่งพระโพธิสัมภารและพระมหากรุณาธิคุณทั้งสิ้น อันผู้อื่นข่มไม่ได้ อนึ่ง
เพราะอดกลั้น เพราะครอบงำมารทั้งหลาย ๕ อันผู้อื่นข่มไม่ได้ เพราะยาก
เพื่อจะอดกลั้น เพื่อจะครอบงำ เพราะอดกลั้น เพราะนำไปซึ่งพุทธกิจอันผู้
อื่นข่มไม่ได้ อันได้แก่การพร่ำสอนด้วยทิฏฐธรรมิกประโยชน์ สัมปรายยิก-
ประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ แก่เหล่าเวไนยสัตว์ ตามสมควร ด้วยการตรัสรู้
แจ้งมีอาสยะ (อัธยาศัย) อนุสยา (กิเลสอันนอนเนืองอยู่ในสันดาน) จริยา-
ธิมุตติ (ความพอใจในความประพฤติ) เป็นต้น หรือเพราะประกาศสาธุการ
ในพุทธกิจนั้น เฉพาะคนอื่นเว้นพระโพธิสัตว์ไม่สามารถ เพื่ออดกลั้น เพื่อ
นำไปได้.
บทว่า นํ ในบทว่า สมุทาจรนฺติ นํ เป็นเพียงนิบาตหรือมี
ความเท่ากับ นํ ตถาคตํ. พระมุนีชื่อ ตโมนุทะ เพราะบรรเทา คือ ซัด
ไปซึ่งอันธการ คือ โมหะ กล่าวคือความมืดในสันดานของตนและผู้อื่น. พระ
มุนีชื่อว่า ปารคตะ เพราะถึงฝั่ง คือ นิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปารคตะ
เพราะถึงฝั่ง คือ ที่สุดแห่งสังสารทุกข์ทั้งสิ้น อันเป็นอภินิหารใหญ่ซึ่งเป็นไป
แล้วโดยนัยมีอาทิว่า มุตฺโต โมเจสฺสามิ เราพ้นแล้วจักให้สัตว์พ้นบ้างดังนี้
หรือแห่งคุณ คือ พระสัพพัญญูทั้งหลาย. พระมุนีนั้นผู้บรรเทาความมืด ผู้ถึง
ฝั่งอาทิผิด อาณัติกะ. อธิบายว่า พระพุทธเจ้าผู้ถึงคุณอันควรถึงจากการถึงฝั่งนั้นนั่นเอง คือ ถึง
คุณทั้งปวงมีศีลเป็นต้นและมีทศพลญาณเป็นต้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง
หลายพึงถึง. บทว่า วสิมํ ความว่า พระมุนีชื่อว่า วสิมา เพราะมีความ
เป็นผู้ชำนาญ มีอาวัชชนะเป็นต้นอย่างยิ่ง อันเนื่องด้วยความหวังในฌานเป็น
ต้นและความเป็นผู้ชำนาญทางจิตอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น ได้แก่ฤทธิ์อันเป็นอริยะ.
พระมุนีนั้นผู้มีความชำนาญ. อธิบายว่า ผู้มีอำนาจ. พระมุนีชื่อว่า อนาสวะ
 
๔๕/๒๑๖/๒๗๗

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก