วันอังคาร, มกราคม 10, 2566

Thuk

 
ราคะเป็นต้นไหม้ลุกโชนไปหมด จิตของวิญญูชน ย่อมไม่ยินดีในโลกนั้นเลย
เมื่อขู่มารนั้น ได้กล่าวคาถาเหล่านั้นว่า
เทวดาชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้น
นิมมานรดี ชั้นวสวัตดี พากันไปจากภพเข้าสู่ภพทุก ๆ
กาล นำหน้าอยู่แต่ในสักกายะ ล่วงสักกายะไปไม่ได้
ก็แล่นไปหาชาติและมรณะ โลกทั้งปวงถูกอาทิผิด อักขระไฟไหม้ลุก
รุ่งโรจน์โชติช่วง โลกทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว พระพุทธ-
เจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันเป็นธรรมไม่หวั่นไหว ชั่ง
ไม่ได้ เป็นธรรมอันปุถุชนเสพไม่ได้โปรดข้าพเจ้า ใจ
ของข้าพเจ้ายินดีนักในธรรมนั้น ข้าพเจ้าได้ฟังคำสั่ง
สอนของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา วิชชา ๓
ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้า
ก็ทำเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่ง
ทั้งปวงได้แล้ว ทำลายกองแห่งความมืดได้แล้ว ดูก่อน
มารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้เถิดว่า ตัวท่านข้าพเจ้า
ก็กำจัดได้แล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลํ กาลํ ได้แก่ ตลอดกาลนั้น ๆ .
บทว่า ภวาภวํ ได้แก่ จากภพสู่ภพ. สกฺกายสฺมึ ได้แก่ เบญจขันธ์ บทว่า
ปุรกฺขตา แปลว่า ทำไว้ข้างหน้า ท่านอธิบายว่า มารเอย เทวดาชั้นดาวดึงส์
เป็นต้นที่ท่านกล่าวเมื่อไปจากภพสู่ภพก็ดำรงอยู่ในสักกายะของตนอันอากูลด้วย
โทษหลายอย่างมีความไม่เที่ยงเป็นต้น เพราะฉะนั้น เทวดาจึงเอาสักกายะนำ
หน้า ในกาลนั้น ๆ คือในเวลาเกิด ในเวลาท่ามกลาง ในเวลาที่สุด ดำรงอยู่
ในภพนั้น จากนั้นไปก็ไม่ล่วงพ้นสักกายะ ไม่มุ่งหน้าออกจากทุกข์ วิ่งไปตาม
 
๕๔/๔๖๒/๒๙๑

ไม่มีความคิดเห็น: