บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกมถ ความว่า พวกท่าน จงก้าว
มาข้างหน้า. ถามว่า ก็พวกเจ้ามัลละแห่งกรุงกุสินารา ไม่ทรงทราบว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมา ดอกหรือ. ตอบว่าทรงทราบ. ธรรมดาว่า ในสถานที่ๆ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไป ๆ ย่อมโกลาหลมากทั้งที่ยังไม่เสด็จมา ก็เพราะ
ทรงประชุมกันด้วยกรณียะบางอย่าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพวกเจ้า
มัลละเหล่านั้น มาแล้วจักต้องจัดโอกาสที่ยืนที่นั่งถวายแก่ภิกษุสงฆ์ จึงส่ง
พระอานนท์ไปที่สำนักของเจ้ามัลละเหล่านั้น แม้ในเวลาอันไม่ควร. โน อักษร
ในคำว่า อมฺหากํ จ โน นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อฆาวิโน ได้แก่ ผู้เกิด
ทุกข์. บทว่า เจโตทุกฺขสมปฺปิโต ได้แก่ผู้เปี่ยมด้วยโทมนัส. บทว่า กุล-
ปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวา ความว่า พวกเจ้ามัลละเป็นตระกูล ๆ
คือสังเขปว่า ตระกูล เป็นส่วน ๆ โดยอยู่ถนนเดียวกันและตรอกเดียวกัน.
บทว่า สุภทฺโท นาม ปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพาชกผู้นุ่งห่มผ้า
จากตระกูลอาทิผิด สระ อุทิจจพราหมณมหาศาล. บทว่า กงฺขาธมฺโม ได้แก่ธรรมคือ
ความเคลือบแคลง. ถามว่าก็เพราะเหตุไร สุภัททปริพาชกนั้นจึงมีความคิด
อย่างนี้ในวันนี้. ตอบว่า เพราะมีอุปนิสัยอย่างนั้น. ได้ยินว่า แต่ก่อนได้มีพี่
น้อง ๒ คน ในการบำเพ็ญบุญ. พี่น้อง ๒ คนนั้น ได้กระทำข้าวกล้าร่วมกัน
ใน ๒ คนนั้น พี่ชายคิดว่าเราจักถวายทานข้าวกล้าอันเลิศปีละ ๙ ครั้ง. ฤดู
หว่าน ถวายเมล็ดอันเลิศ. ในฤดูข้าวตั้งท้องปรึกษากับน้องชายว่า จักผ่า
ท้องกล้าถวาย. น้องชายบอกว่า พี่ต้องการจะให้ข้าวกล้าอ่อนพินาศไปหรือ.
พี่ชายรู้ว่าน้องชายไม่ยินยอม จึงแบ่งนากัน ผ่าท้องข้าวจากส่วนของตน คั้นน้ำ
นม ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อย. ในฤดูเป็นข้าวเม่าก็ให้กระทำข้าวเม่าถวาย.
ในเวลาเกี่ยวก็ให้ถวายข้าวอันเลิศ. ในเวลามัดขะเน็ด ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศ
ในเวลาทำขะเน็ด. ในเวลาทำเป็นฟ่อนเป็นต้น ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศเวลาทำ
มาข้างหน้า. ถามว่า ก็พวกเจ้ามัลละแห่งกรุงกุสินารา ไม่ทรงทราบว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมา ดอกหรือ. ตอบว่าทรงทราบ. ธรรมดาว่า ในสถานที่ๆ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไป ๆ ย่อมโกลาหลมากทั้งที่ยังไม่เสด็จมา ก็เพราะ
ทรงประชุมกันด้วยกรณียะบางอย่าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพวกเจ้า
มัลละเหล่านั้น มาแล้วจักต้องจัดโอกาสที่ยืนที่นั่งถวายแก่ภิกษุสงฆ์ จึงส่ง
พระอานนท์ไปที่สำนักของเจ้ามัลละเหล่านั้น แม้ในเวลาอันไม่ควร. โน อักษร
ในคำว่า อมฺหากํ จ โน นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อฆาวิโน ได้แก่ ผู้เกิด
ทุกข์. บทว่า เจโตทุกฺขสมปฺปิโต ได้แก่ผู้เปี่ยมด้วยโทมนัส. บทว่า กุล-
ปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวา ความว่า พวกเจ้ามัลละเป็นตระกูล ๆ
คือสังเขปว่า ตระกูล เป็นส่วน ๆ โดยอยู่ถนนเดียวกันและตรอกเดียวกัน.
บทว่า สุภทฺโท นาม ปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพาชกผู้นุ่งห่มผ้า
จาก
ความเคลือบแคลง. ถามว่าก็เพราะเหตุไร สุภัททปริพาชกนั้นจึงมีความคิด
อย่างนี้ในวันนี้. ตอบว่า เพราะมีอุปนิสัยอย่างนั้น. ได้ยินว่า แต่ก่อนได้มีพี่
น้อง ๒ คน ในการบำเพ็ญบุญ. พี่น้อง ๒ คนนั้น ได้กระทำข้าวกล้าร่วมกัน
ใน ๒ คนนั้น พี่ชายคิดว่าเราจักถวายทานข้าวกล้าอันเลิศปีละ ๙ ครั้ง. ฤดู
หว่าน ถวายเมล็ดอันเลิศ. ในฤดูข้าวตั้งท้องปรึกษากับน้องชายว่า จักผ่า
ท้องกล้าถวาย. น้องชายบอกว่า พี่ต้องการจะให้ข้าวกล้าอ่อนพินาศไปหรือ.
พี่ชายรู้ว่าน้องชายไม่ยินยอม จึงแบ่งนากัน ผ่าท้องข้าวจากส่วนของตน คั้นน้ำ
นม ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อย. ในฤดูเป็นข้าวเม่าก็ให้กระทำข้าวเม่าถวาย.
ในเวลาเกี่ยวก็ให้ถวายข้าวอันเลิศ. ในเวลามัดขะเน็ด ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศ
ในเวลาทำขะเน็ด. ในเวลาทำเป็นฟ่อนเป็นต้น ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศเวลาทำ
๑๓/๑๖๒/๔๓๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น