วันอาทิตย์, มีนาคม 17, 2567

Maha muni

 
พร้อมกับอำมาตย์เก้าคน ด้วยประการฉะนี้ ทุก ๆคนสำเร็จกิจของตน
แล้วก็นิ่งเสีย
ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า คนมีจำนวนเท่านี้ ไม่บอก
อะไรแก่พระทศพล เพื่อเสด็จมาในที่นี้เพราะเขาไม่รักเรา คนอื่น ๆ
แม้ไปก็คงจักไม่สามารถนำพระทศพลมาได้ แต่อุทายีบุตรของเรา
ปีเดียวกับพระทศพล โดยเล่นฝุ่นด้วยกันมา เขาคงรักเราบ้าง จึงโปรด
ให้เรียกตัวมาแล้วตรัสสั่งว่า ลูกเอ๋ย เจ้ามีบุรุษพันคนเป็นบริวาร จงไป
นำพระทศพลมา กาฬุทายีกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาท ได้
บรรพชาเหมือนพวกบุรุษที่ไปกันครั้งแรก จึงจัดนำมา พระเจ้าข้า.
รับสั่งว่าเจ้าทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจงนำลูกของเรามาก็แล้วกัน
กาฬุทายีรับราชโองการว่า ดีละพระเจ้าข้า แล้วถือสาส์นของพระราชา
ไปกรุงราชคฤห์ ยืนฟังธรรมท้ายบริษัท ในเวลาพระศาสดาทรงแสดง
ธรรมแล้วบรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่โดยเป็นเอหิภิกขุ พร้อมทั้งบริวาร
ต่อนั้น ก็ดำริว่า ยังไม่เป็นกาละเทศะที่พระทศพลจะเสด็จไปยังนคร
แห่งสกุล ต่อสมัยวสันตฤดู (ฤดูใบไม้ผลิ) เมื่อไพรสณฑ์มีดอกไม้บาน
สะพรั่ง แผ่นดินคลุมด้วยหญ้าสด จึงจักเป็นกาละเทศะ จึงรอเวลาอยู่
รู้ว่ากาละเทศะมาถึงแล้ว จึงทูลพรรณนาหนทาง เพื่อพระทศพลเสร็จ
ดำเนินไปยังนครแห่งสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาเป็นต้นว่า
นาติสีตํ นาติอุณฺหํ นาติทุพฺภิกฺขฉาตกํ
สทฺทสา หริตา ภูมิ เอส กาโล มหามุนิ

ข้าแต่พระมหาอาทิผิด อักขระมุนี สถานที่ไม่เย็นจัด ไม้ร้อนจัด มิใช่
สถานที่หาอาหารยากและอดอยาก พื้นแผ่นดินเขียวขจี
 
๓๒/๑๔๙/๔๖๓

ไม่มีความคิดเห็น: