ทั้งหลายเป็นอัพยากตะ เป็นอเหตุกะ และเป็นจิตตวิปปยุต หมายถึง
ขณะนั้นจิตกำลังเป็นกุศลหรืออัพยากตะ.
ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านทำคำถามว่า บุคคลย่อมละกิเลสทั้งหลาย
แม้อันเป็นปัจจุบันหรือ ดังนี้ แล้วตอบว่า บุคคลชื่อว่าย่อมละอนุสัยอันมี
กำลังเพราะความที่อนุสัยทั้งหลายเป็นสภาพมีอยู่แก่ความเป็นปัจจุบัน.
ในธรรมสังคหะ ในการจำแนกบทโมหะ ท่านกล่าวความเกิดขึ้น
แห่งอวิชชานุสัยกับอกุสลอาทิผิด สระ จิต ว่า อวิชชานุสัย ได้แก่ อนุสัยคืออวิชชา อวิชชา-
ปริยุฏฐาน ได้แก่ ปริยุฏฐานคืออวิชชา อวิชชาลังคิ ได้แก่ ลิ่มคืออวิชชา
อกุสลมูล คือโมหะนี้มี ณ สมัยใด สมัยนั้น โมหะย่อมมี ดังนี้.
ในอนุสัยยมกนี้นั่นแหละ ในอุปปัชชวาระ คือวาระว่าด้วยการเกิดขึ้น
วาระใดวาระหนึ่งแห่งมหาวาระ ๗ ท่านกล่าวคำเป็นต้นไว้ว่า กามราคา-
นุสัยย่อมเกิดแก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นใช่ไหม ดังนี้
เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวแล้วว่า ย่อมนอนเนื่อง คำนั้น อธิบายว่า
อนุสัยทั้งหลายเหล่านั้นได้เหตุอันสมควรแล้วย่อมเกิดขึ้น ดังนี้ บัณฑิต
พึงทราบว่า คำนั้นท่านกล่าวดีแล้วโดยแบบแผนนี้เป็นประมาณ. คำแม้ใด
ที่ท่านกล่าวไว้เป็นต้นว่า อนุสัยเป็นจิตตสัมปยุต เป็นสารัมมณะ ดังนี้
แม้คำนั้นก็ชื่อว่าท่านกล่าวดีแล้วนั่นแหละ. คำว่า ก็ชื่อว่า อนุสัยเป็น
ของสำเร็จแล้ว เป็นจิตตสัมปุต เป็นอกุสลธรรม ดังนี้ พึงถึงความสิ้นสุด
กันในที่นี้แล.
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในคำทั้งหลาย มีกามราคานุสัย เป็นต้นว่า
กามราคะนั้นแหละชื่อว่าอนุสัยเพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า กามราคานุสัย. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้นั่นแหละ. ต่อไป
ขณะนั้นจิตกำลังเป็นกุศลหรืออัพยากตะ.
ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านทำคำถามว่า บุคคลย่อมละกิเลสทั้งหลาย
แม้อันเป็นปัจจุบันหรือ ดังนี้ แล้วตอบว่า บุคคลชื่อว่าย่อมละอนุสัยอันมี
กำลังเพราะความที่อนุสัยทั้งหลายเป็นสภาพมีอยู่แก่ความเป็นปัจจุบัน.
ในธรรมสังคหะ ในการจำแนกบทโมหะ ท่านกล่าวความเกิดขึ้น
แห่งอวิชชานุสัยกับ
ปริยุฏฐาน ได้แก่ ปริยุฏฐานคืออวิชชา อวิชชาลังคิ ได้แก่ ลิ่มคืออวิชชา
อกุสลมูล คือโมหะนี้มี ณ สมัยใด สมัยนั้น โมหะย่อมมี ดังนี้.
ในอนุสัยยมกนี้นั่นแหละ ในอุปปัชชวาระ คือวาระว่าด้วยการเกิดขึ้น
วาระใดวาระหนึ่งแห่งมหาวาระ ๗ ท่านกล่าวคำเป็นต้นไว้ว่า กามราคา-
นุสัยย่อมเกิดแก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นใช่ไหม ดังนี้
เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวแล้วว่า ย่อมนอนเนื่อง คำนั้น อธิบายว่า
อนุสัยทั้งหลายเหล่านั้นได้เหตุอันสมควรแล้วย่อมเกิดขึ้น ดังนี้ บัณฑิต
พึงทราบว่า คำนั้นท่านกล่าวดีแล้วโดยแบบแผนนี้เป็นประมาณ. คำแม้ใด
ที่ท่านกล่าวไว้เป็นต้นว่า อนุสัยเป็นจิตตสัมปยุต เป็นสารัมมณะ ดังนี้
แม้คำนั้นก็ชื่อว่าท่านกล่าวดีแล้วนั่นแหละ. คำว่า ก็ชื่อว่า อนุสัยเป็น
ของสำเร็จแล้ว เป็นจิตตสัมปุต เป็นอกุสลธรรม ดังนี้ พึงถึงความสิ้นสุด
กันในที่นี้แล.
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในคำทั้งหลาย มีกามราคานุสัย เป็นต้นว่า
กามราคะนั้นแหละชื่อว่าอนุสัยเพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า กามราคานุสัย. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้นั่นแหละ. ต่อไป
๘๑/๑๓๓๗/๒๐๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น