ในบทว่า เอวรูปา จ เต ภิกฺขเว ภิกฺขู เป็นต้น พึงทราบ
วินิจฉัยดังต่อไปนี้. ภิกษุเหล่าใดเห็นปานนี้ คือ เป็นเช่นนี้ ได้แก่ ทำลาย
กิเลสได้หมดสิ้น เพราะประกอบด้วยคุณภาพที่กล่าวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นเรียกว่า
ศาสดา เพราะพร่ำสอนโดยการประกอบสัตว์ทั้งหลายไว้ในประโยชน์
เกื้อกูลมีทิฏฐธัมมิถัตถประโยชน์เป็นต้นบ้าง เรียกว่า นายคาราวาน (ผู้นำหมู่
พ่อค้า) เพราะช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นจากชาติกันดารเป็นต้นบ้าง
เรียกว่า ผู้ละกิเลสเครื่องยียวน เพราะละกิเลสเครื่องยียวนมีราคะเป็นต้น
ได้ด้วยตนเอง และสอนคนอื่นให้ละตามบ้าง เรียกว่า ผู้บรรเทาความมืด
เพราะบรรเทาความมืด คือ อวิชชาด้วยตนเอง และสอนผู้อื่นให้บรรเทา
ตามบ้าง เรียกว่า ผู้ทำแสงสว่างเป็นต้น เพราะทำให้เกิดแสงสว่างคือปัญญา
โอภาสคืออาทิผิด อักขระ ปัญญา และความโชติช่วงคือปัญญาในสันดานของตนและบุคคล
อื่นบ้าง อนึ่ง เรียกว่า ผู้ทำรัศมีบ้าง ผู้ทรงคบเพลิงบ้าง เพราะทำธรรม
ให้ดาดาษด้วยรัศมี คือ ญาณ เรียกว่า พระอริยะ เพราะเป็นผู้ห่างไกลจาก
กิเลสทั้งหลาย ๑ เพราะไม่ดำเนินไปในทางที่ไม่ควรดำเนิน ๑ เพราะดำเนิน
ไปในทางที่ควรดำเนิน ๑ เพราะอันชาวโลกกับทั้งเทวโลกพึงดำเนินตาม ๑
เรียกว่า ผู้มีจักษุ เพราะได้ปัญญาจักษุและธรรมจักษุอย่างดียิ่ง.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้ บทว่า ปาโมชฺชกรณฏฺ-
ฐานํ ได้แก่ ที่ตั้ง คือ เหตุให้บังเกิดความบันเทิงใจที่ปราศจากอามิส. ท่าน
กล่าวถึงนิทัสสนะ (ตัวอย่าง) ที่จะพึงกล่าวในบัดนี้ว่า เอตํ. บทว่า วิชานตํ
ได้แก่ รู้จักความเศร้าหมองและความผ่องแผ้ว ตามความเป็นจริง. บทว่า
ภาวิตตฺตานํ ได้แก่ ผู้มีสภาวะ (จิต) อันอบรมแล้ว อธิบายว่า ผู้มีสันดาน
อบรมแล้วด้วยการอบรมกายเป็นต้น. บทว่า ธมฺมชีวินํ ความว่า ชื่อว่า
วินิจฉัยดังต่อไปนี้. ภิกษุเหล่าใดเห็นปานนี้ คือ เป็นเช่นนี้ ได้แก่ ทำลาย
กิเลสได้หมดสิ้น เพราะประกอบด้วยคุณภาพที่กล่าวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นเรียกว่า
ศาสดา เพราะพร่ำสอนโดยการประกอบสัตว์ทั้งหลายไว้ในประโยชน์
เกื้อกูลมีทิฏฐธัมมิถัตถประโยชน์เป็นต้นบ้าง เรียกว่า นายคาราวาน (ผู้นำหมู่
พ่อค้า) เพราะช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นจากชาติกันดารเป็นต้นบ้าง
เรียกว่า ผู้ละกิเลสเครื่องยียวน เพราะละกิเลสเครื่องยียวนมีราคะเป็นต้น
ได้ด้วยตนเอง และสอนคนอื่นให้ละตามบ้าง เรียกว่า ผู้บรรเทาความมืด
เพราะบรรเทาความมืด คือ อวิชชาด้วยตนเอง และสอนผู้อื่นให้บรรเทา
ตามบ้าง เรียกว่า ผู้ทำแสงสว่างเป็นต้น เพราะทำให้เกิดแสงสว่างคือปัญญา
โอภาส
อื่นบ้าง อนึ่ง เรียกว่า ผู้ทำรัศมีบ้าง ผู้ทรงคบเพลิงบ้าง เพราะทำธรรม
ให้ดาดาษด้วยรัศมี คือ ญาณ เรียกว่า พระอริยะ เพราะเป็นผู้ห่างไกลจาก
กิเลสทั้งหลาย ๑ เพราะไม่ดำเนินไปในทางที่ไม่ควรดำเนิน ๑ เพราะดำเนิน
ไปในทางที่ควรดำเนิน ๑ เพราะอันชาวโลกกับทั้งเทวโลกพึงดำเนินตาม ๑
เรียกว่า ผู้มีจักษุ เพราะได้ปัญญาจักษุและธรรมจักษุอย่างดียิ่ง.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้ บทว่า ปาโมชฺชกรณฏฺ-
ฐานํ ได้แก่ ที่ตั้ง คือ เหตุให้บังเกิดความบันเทิงใจที่ปราศจากอามิส. ท่าน
กล่าวถึงนิทัสสนะ (ตัวอย่าง) ที่จะพึงกล่าวในบัดนี้ว่า เอตํ. บทว่า วิชานตํ
ได้แก่ รู้จักความเศร้าหมองและความผ่องแผ้ว ตามความเป็นจริง. บทว่า
ภาวิตตฺตานํ ได้แก่ ผู้มีสภาวะ (จิต) อันอบรมแล้ว อธิบายว่า ผู้มีสันดาน
อบรมแล้วด้วยการอบรมกายเป็นต้น. บทว่า ธมฺมชีวินํ ความว่า ชื่อว่า
๔๕/๒๘๔/๖๖๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น