วันพุธ, มีนาคม 22, 2566

Anantariyakam

 
ถือเอาวจีทุจริต และด้วยการถือเอามโนทุจริตในการติเตียนพระอริยเจ้า
คำกล่าวของทั้งสองอย่างเหล่านั้นพึงทราบว่า เพื่อแสดงความมีโทษมาก
เพราะผู้ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นผู้มีโทษมาก เช่นเดียวกับอนันตริยกรรมอาทิผิด อักขระ
แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุถึง
พร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา พึงให้ผู้อื่นยินดีในทิฏฐธรรมด้วย แม้
ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร ข้อนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น เรากล่าวว่าผู้ไม่ละคำพูด
นั้น ไม่ละจิตนั้น ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเก็บสะสมไว้ เหมือนยินดีใน
นรก.
ไม่มีอย่างอื่นที่มีโทษมากกว่ามิจฉาทิฏฐิเลย. เหมือนอย่างที่พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้
สักอย่างเดียว ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.
บทว่า กายสฺส เภทา กายแตก คือสละขันธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่. บทว่า
ปรมฺมรณา เมื่อตายไป คือยึดขันธ์อันจะเกิดในลำดับนั้น . อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า กายสฺส เภทา คือ ตัดชีวิตินทรีย์. บทว่า ปรมฺมรณา เบื้องหน้า
แต่จุติจิต. บทว่า อปายํ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนรกทั้งหมด. เพราะ
ว่านรกชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากความเจริญที่สมมติว่าบุญ อันเป็น
เหตุแห่งสวรรค์และนิพพาน หรือเพราะไม่มีความเจริญแห่งความสุข
ทั้งหลาย. นรกชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า ทุคติ เพราะเกิด คือถึงด้วยกรรมชั่วอันมากไปด้วยโทษ. นรก
ชื่อว่า วินิปาตะ เพราะเป็นที่ที่อวัยวะน้อยใหญ่แตกพินาศไป. ชื่อว่า
นิรยะ เพราะเป็นที่ที่ไม่มีความเจริญที่รู้กันว่าเป็นความชอบใจ.
 
๖๖/๗๘๘/๓๘๐

ไม่มีความคิดเห็น: