วันจันทร์, ธันวาคม 04, 2566

Onthakan

 
ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
มีอภิชฌาเป็นต้น เมื่อยังไม่ละกิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น ท่านเรียกว่า
โมหมัคคะ ทางแห่งความหลงบ้าง เรียกว่า อัญญาณปักขะ ฝ่ายแห่งความ
ไม่รู้บ้าง เรียกว่า วิจิกิจฉฐาน ที่ตั้งวิจิกิจฉาบ้าง เพราะละโมหะและ
วิจิกิจฉาทั้งหลาย (ไม่ได้) กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหมดนั้น พอถึงพระตถาคต
เข้าถูกกำจัดด้วยเทศนาพละของพระตถาคต ย่อมไม่มี คือย่อมพินาศไป.
ถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะจักษุของพระตถาคตนี้ เป็นจักษุ
ชั้นยอดเยี่ยมของนรชน ท่านอธิบายว่า เพราะพระตถาคตเป็นบรมจักษุ
ของเหล่านรชน เพราะทำให้เกิดปัญญาจักษุด้วยการกำจัดกิเลสเครื่องร้อย
รัดทั้งปวง.
พระเถระสดุดีอยู่นั่นแหละ เมื่อจะทำให้เกิดความประสงค์เพื่อจะ
ตรัส จึงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า โน เจ หิ ชาตุ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตุ เป็นคำกล่าวโดยส่วนเดียว.
ด้วยบทว่า ปุริโส พระเถระกล่าวหมายเอาพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า โชติมนฺโต ได้แก่ พระสารีบุตรเป็นต้นผู้สมบูรณ์ด้วยความ
โชติช่วงแห่งปัญญา ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า หากพระผู้มีพระภาคเจ้าพึง
ฆ่ากิเลสทั้งหลายด้วยกำลังแห่งเทศนา เหมือนลมต่างด้วยลมทิศตะวันออก
เป็นต้นทำลายกลุ่มหมอกฉะนั้น แต่นั้น โลกที่ถูกกลุ่มหมอกหุ้มห่อ ย่อม
เป็นโลกมืดมนอนธการอาทิผิด อักขระไปหมด ฉันใด ชาวโลกแม้ทั้งปวงก็ฉันนั้น ถูก
ความไม่รู้หุ้มห่อ ก็จะพึงเป็นชาวโลกผู้มืดมน. ก็บัดนี้ พระเถระมีพระ-
สารีบุตรเป็นต้นซึ่งปรากฏโชติช่วงอยู่แม้นั้น ไม่พึงกล่าว คือไม่พึงแสดง.
คาถาว่า ธีรา จ แม้นี้ พระเถระกล่าวโดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ.
 
๕๓/๔๐๑/๕๔๘

ไม่มีความคิดเห็น: